วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ต้นไม้ที่ห้ามปลูกบริเวณบ้าน

    
ต้นไม้ที่ห้ามปลูกบริเวณบ้าน





      ต้นไม้ที่ห้ามปลูกบริเวณบ้าน โดยคนโบราณ และ คนส่วนใหญ่จะไม่นิยมปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้ในบ้านเรือนเพราะมีความเชื่อว่าไม่เป็นมงคล ขัดโชคลาภหรือความเจริญ อาจนำโชคร้ายโรคภัยไข้เจ็บ มาสู่ผู้อยู่อาศัยและทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านไม่มีความร่มเย็นเป็นสุข  ลองมาดูกันนะคะว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง
1. ต้นโศก
เป็นความเชื่อมาแต่โบราณของคนไทยที่จะไม่นิยมนำมาปลูกในบ้าน คำว่าโศก มักทำให้นึกถึงคำว่าโศกเศร้าซึ่งมักจะมาจากความรักที่ไม่สมปรารถนา แต่จริงๆ แล้วชื่อเดิมของโศก คือ คือ อโศก แปลว่า ความไม่มีโศกเศร้า เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่ความโศกเศร้า แต่ถึงอย่างไรคนไทยก็ยังมีความเชื่อว่า ชื่อ ต้นโศก ไม่เป็นมงคลนักหากนำมาปลูกในบ้าน จะชวนให้บ้านและผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านชวนหดหู่เศร้าหมอง และมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า หากปลูกต้นโศกเอาไว้ในบ้านแล้ว คนในบ้านก็จะมีแต่ความทุกข์ความเศร้า ความหม่นหมอง และจะทำให้มีเรื่องโศกเศร้าเสียใจ
2. ต้นระกำ
หนึ่งในต้นไม้ที่ไม่เป็นมงคลคือต้นระกำ จากชื่อของต้นระกำทำให้คนไทยไม่นิยมนำมาปลูกในบ้าน เพราะเชื่อกันว่าหากปลูกต้นระกำไว้ในบ้าน จะนำความชอกช้ำ ระกำทรวง มาให้อยู่ตลอดเวลา
และจากลักษณะของต้นระกำที่เป็นต้นพุ่มแตกเป็นกอ ลำต้นจะมีหนามแหลมยาวอยู่แล้ว ซึ่งหากเด็กเข้าไปใกล้ก็อาจจะเกิดอันตรายได้
3. ต้นมะรุม
มะรุมเป็นต้นไม้ที่คนไทยสมัยนี้จะคุ้นเคยกับการนำไปทำแกงส้ม แต่คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ เชื่อว่าหากมีต้นมะรุมอยู่ในบ้านจะทำให้มีเรื่องมารุมเร้า เดือดร้อนวุ่นวาย เกิดเรื่องกลุ้มใจ มีเรื่องร้อนรุม สุมทรวง ผู้คนจะมารุมข่มเหง มีเรื่องร้ายๆ โหมกระหน่ำรุมล้อมเข้ามา ทำให้ผู้ที่อยู่ในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข ต้นมะรุมจึงถือว่าเป็นไม้ไม่เป็นมงคลจึงไม่ควรนำมาปลูกไว้ในบ้านเป็นที่สุด
4. ต้นรัก
ถึงแม้ชื่อต้นรักจะดูฟังไปในทางที่ดี และตามประเพณีในประเทศไทย มักจะนิยมนำดอกรักมาร้อยเป็นมาลัยใช้ในงานมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก เพราะดอกรักสื่อความหมายถึงความรัก เช่น งานหมั้น และงานแต่งงาน แต่ก็มีความเชื่อมาแต่โบราณเหมือนกันที่ไม่ให้ปลูกต้นรักในบ้าน เพราะเชื่อว่า จะทำให้ความรักยุ่งยากซับซ้อนขึ้น และกลายเป็นคนหลายรัก นอกจากนี้ ยางของต้นรัก ยังเป็นอันตรายต่อผิวหนังด้วย
5. ต้นมะละกอ
หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ามะละกอเป็นต้นไม้ที่ห้ามปลูกในบริเวณบ้าน เพราะมะละกอเป็นพืชล้มลุกที่คนไทยคุ้นเคยในการรับประทานและนำไปประกอบอาหารหรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าชื่อของ มะละกอนั้น ไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่งเหมือนกับการแตกออกเป็นกอ หรือ “ละ” จากเผ่าจากกอ หากบ้านไหนปลูกมะละกอ เอาไว้ในบริเวณบ้าน แล้วล่ะก็ บ้านหลังนั้นก็จะไม่มีความสุข เพราะลูกหลานจะแตกแยกออกไป ไม่มีความสมัครสมานสามัคคี มีความคิดที่ขัดแย้งกัน ต่างก็คอยจะทะเลาะเบาะแว้ง จนหาความสุขไม่ได้ แต่หากจะปลูกไว้เพื่อเก็บรับประทาน ควรจะปลูกไว้นอกริมรั้วบ้าน
6. ต้นชวนชม
การปลูกต้นชวนชมเอาไว้ในบ้านจะส่งผลให้มีผู้คนมาชื่นชม นิยมยกย่อง กลายเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่หากมองในแง่ร้าย ต้นชวนชมจะชักชวนให้คนมาเชยชม จึงไม่เหมาะที่จะนำมาปลูกภายในบ้านที่มีลูกสาววัยแรกรุ่น เพราะอาจจะเป็นการชักนำหนุ่มๆ ให้เข้ามาหาลูกสาวได้ อาจกลายเป็นเรื่องของชิงสุกก่อนห่าม เป็นการปูทางให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้น นอกจากนี้ ยางของต้นชวนชมค่อนข้างจะเป็นอันตราย หากไปสัมผัสโดนเข้า  หรือกระเด็นเข้าตาอาจเกิดอันตรายได้
7. ต้นชบา
ในสมัยโบราณ ไม่นิยมปลูกต้นชบาเอาไว้ในบริเวณบ้าน เพราะดอกชบานั้น มักถูกนำไปโยงเกี่ยวกับในเรื่องของการเกิดคดีความ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นดอกไม้อัปมงคลเพราะในอดีตมีการนำพวงมาลัยอกชบาไปสวมคอนักโทษที่กำลังจะถูกประหารชีวิต ดังนั้นจึงไม่ควรจะนำมาปลูกไว้ในบ้านเพระอาจจะเกิดเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลได้
8. ต้นงิ้ว
เมื่อพูดถึงต้นงิ้ว คนส่วนใหญ่มีความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาทันที เพราะต้นงิ้วเป็นต้นไม้ใหญ่มีหนามแหลมคมและในนิทานชาดก เรื่องนางกากี ที่พระยาครุฑลักพาตัวนางไปจากพระโพธิสัตว์ นำไปสมสู่อยู่บนวิมานฉิมพลีซึ่งในภาษาบาลีหมายถึงคำว่า “สิมพลี” ที่แปลว่าต้นงิ้วป่าในภาษาไทย จึงทำให้ต้นงิ้วเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีชู้ ซึ่งเป็นไม้ที่ไม่เป็นมงคล ดังนั้นคนไทยโบราณจึงไม่นิยมปลูกต้นงิ้ว ไว้ในอาณาบริเวณบ้าน
9. ต้นนางแย้มป่า
ห้ามปลูกต้นนางแย้มป่าในบ้านโดยเด็ดขาด ตามความเชื่อว่าต้นนางแย้มป่าเป็นต้นไม้ที่มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ หากปลูกไว้ภายในบ้าน วันดีคืนดี ต้นนางแย้มป่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำร้ายรังแกผู้คนในบ้านให้หวาดผวาเสียขวัญ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย
10. ดอกลั่นทม
ถึงแม้ดอกลั่นทมจะได้เปลี่ยนชื่อเป็นลีลาวดีและมีคนบางกลุ่มนำมาปลูกไว้ในบ้านเพราะดอกลั่นทมจะมีลำต้นใหญ่แข็งแรงงดงาม กลีบดอกสวยงามละมุนตากลิ่นหอมจับใจ แต่คนไทยที่ยังยึดกับชื่อเดิมก็ยังไม่นิยมปลูกลั่นทมเอาไว้ในบ้าน เพราะเชื่อกันว่า ชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ไม่เป็นมงคลเพราะคำว่าลั่นทมออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่าระทม จนเชื่อกันว่า หากใครปลูกต้นลั่นทมไว้ในบ้าน คนทั้งบ้านก็จะมีแต่ความทุกข์ระทม คู่ครองจะห่างเหิน จะมีแต่ความทุกข์
11. ไผ่ 
คนไทยโบราณมักจะปลูกต้นไผ่ไว้ตามปลายทุ่งชายนา แต่จะไม่นิยมปลูกไว้ในบ้าน เพราะถือกันว่าลำต้นไผ่ใช้เป็นคานสำหรับหามโลงหรือผีไปฝังในป่าช้า แต่หากบางท้องถิ่นถือว่า ต้องให้ผู้สูงอายุปลูกถึงจะดี หนุ่มสาวห้ามปลูก
12. หลิว
คนจีนไม่นิยมปลูกในบ้านเพราะใบหลิวลู่ย้อยลงมา เป็นสัญลักษณ์คล้ายคนโศกเศร้า เห็นเข้าทำให้อารมณ์เศร้าซึม เขาว่าบ้านใดมีลูกสาวและปลูกต้นหลิวไว้ในบ้านด้วย ลูกสาวบ้านนั้นจะไม่มีใครมา สู่ขอและต้องเป็นสาวครองโสดไปตลอด และหากแต่งงานก็จะมีบุตรยากและไม่มีผู้สืบสกุล
13. ต้นเต่าร้าง
ต้นเต่าร้างเป็นไม้ที่คนไทยเชื่อกันว่าไม่เป็นมงคลจะส่งผลไม่ดี  เชื่อกันวาหากสามีภรรยาคู่ใดปลูกต้นเต่าร้างเอาไว้ในบ้าน ก็อาจจะต้องเลิกราหย่าร้างกันไปก็เป็นได้ เพราะชื่อเต่าร้างนั้น ก็แสดงไปในความหมาย ของการเลิกร้าง-ร้างรา หรือหย่าร้างอยู่แล้ว ทำให้ครอบครัวแตกแยกอยู่ไม่เป็นสุข ดังนั้นจึงไม่เหมาะ ที่จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ ไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อครอบครัวของคุณ คุณจะได้มีแต่ความสงบสุขตลอดไป
แต่หากการปลูกต้นไม้แต่ละชนิดก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเจ้าของบ้าน เพราะบางทีความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมาอาจจะเป็นกลอุบาย ที่มีแง่คิด หรือคำเตือน แอบแฝงอยู่  เช่น โบราณว่าไว้ว่าห้ามปลูกต้นไม้จำพวกต้นไม้ใหญ่ที่ระหลังคา นั้นก็เป็นเพราะว่า เมื่อต้นไม้ดังกล่าวแผ่กิ่งกระจายไป ต้นไม้เหล่านั้นอาจจะทำให้สัตว์เลื้อยคลานเข้ามาได้บ้านได้ หรือถ้าเป็นต้นไม้กิ่งใหญ่หากเกิดพายุภัยพิบัติอาจจะทำให้หลังคาเกิดความเสียหายก็เป็นได้ และไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าชนิดไหน ๆ ก็ให้ประโยชน์แก่สรรพสิ่งมีชีวิต และเป็นประโยชน์และทำให้บ้านเราร่มรื่นน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

ประโยชน์และความสำคัญของการเกษตร


ประโยชน์และความสำคัญของการเกษตร



เมื่อนักเรียนได้ผ่านการศึกษาในรายวิชางานเกษตรพื้นฐานนี้แล้ว นักเรียนสามารถนำความ
รู้ความสามารถไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ในหลายลักษณะคือ
(1) เป็นอาชีพเสริมอาชีพหลัก คือการทำการเกษตรเป็นอาชีพที่เสริมอาชีพอื่นที่ทำเป็น 
งานหลักอยู่แล้ว เช่น เลี้ยงสุกร 5 - 10 ตัว ในขณะรับราชการครู
(2) เป็นอาชีพธุรกิจและบริการทางการเกษตร เช่นจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับ รับจัด
สวนหย่อม จำหน่ายเครื่องมือทางการเกษตรจำหน่ายผลผลิตเกษตร
(3) เป็นอาชีพหลัก ได้แก่การทำการเกษตรเพื่อเป็นรายได้หลักของครอบครัว เช่น 
ปลูกผัก เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงกุ้ง ฯลฯ
นอกจากนี้การเกษตรกรรมยังมีบทบาทที่สำคัญ ต่อประเทศในหลายๆ ด้าน ได้แก่
 -ด้านเศรษฐกิจ
 - ด้านสังคม
 - ด้านการเมืองการปกครอง
 - ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2. สาระสำคัญของการเกษตร
วิชางานเกษตรพื้นฐาน มีสาระสำคัญ ที่นักเรียนจะได้รับ 3 ประการคือ
(1) มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการปลูกพืช และเรื่องการเลี้ยงสัตว์เบื้องต้นที่ใช้ในการดำรง
ชีวิตประจำวัน
(2) ได้ฝึกปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในท้องถิ่น และนำประโยชน์จากผลผลิตนั้นไปใช้ประโยชน์กับ
ครอบครัว
(3) ได้ฝึกฝนให้เป็นคนที่มีความรู้ความผิดชอบ มีความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน อีกทั้ง
สามารถทำงานร่วมกับเพื่อนๆ หรือผู้อื่นได้

ความหมายของการเกษตร

ความหมายของเกษตร


         การเกษตร หมายถึง วิธีการยังชีพอย่างหนึ่งของมนุษย์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์
        การเกษตรเป็นการทำงานเพื่อควบคุมธรรมชาติในอันที่จะผลิตพืชและสัตว์ให้ได้ ตามความต้องการของมนุษย์ โดยอาศัยการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์เป็นพื้นฐาน มีมนุษย์ เป็นผู้ควบคุมดำเนินการอย่างมีระบบแบบแผน มีการวางแผนปฏิบัติงานล่วงหน้า คิดคำนวณรายได้ รายจ่ายในการดำเนินการทั้งหมด
        ในการเกษตร พืช หมายถึง พืชสวน พืชไร่ ป่าไม้ สัตว์ หมายถึง สัตว์บก สัตว์น้ำ ทั้งที่เป็นสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า 

ทิศในการปลูกต้นไม้

ทิศในการปลูกต้นไม้

ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) : ให้ปลูกต้นไผ่ ต้นกุ่ม และต้นมะพร้าว
ทิศอาคเณย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ) : ปลูกต้นยอ และสารภี
ทิศทักษิณ (ทิศใต้) :ให้ปลูกต้นมะม่วง และต้นพลับ
ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ) :ท่านให้ปลูกต้นชัยพฤกษ์ ต้นขนุน ต้นพิกุล
ทิศประจิม (ทิศตะวันตก) :ให้ปลูกต้นมะขาม มะยม
ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) :ให้ปลูกต้นมะกรูด
ทิศอุดร (ทิศเหนือ) :ให้ปลูกต้น พุทรา และหัวว่านต่าง ๆ
ทิศอิสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ):ให้ปลูกต้นทุเรียน และขุดบ่อลงไว้

*ต้นไม้ห้ามปลูกในบริเวณบ้านนั้น คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นตาล ต้นมะกอก ต้นสำโรง ต้นมะงั่ว ต้นระกำ ต้นหวาย และต้นสลัดได เมื่อจะปลูกเรือนท่านให้ถางทิ้งเสียให้หมด จึงจะดี 

ประโยชน์ของการปลูกต้นไม้

ประโยชน์ของต้นไม้


ประโยชน์ของต้นไม้มีดังนี้

1.ต้นไม้จะ ช่วยคายออกซิเจนในช่วงกลางวัน ทำให้เราได้อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งการได้สูดอากาศบริสุทธิ์ มีผลดีต่อสุขภาพ ของเรา
2. ช่วยดูดซับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
3. เป็นร่มเงา บังแสงแดด ให้เกิดความร่มรื่น
4. เป็นที่อยู่ อาศัยของสัตว์ป่า
5. พืช ผล สามารถนำมารับประทานเป็นอาหาร หรือ ยารักษาโรคได้
6. เป็นแหล่งต้นน้ำ ลำธาร เนื่องจากที่บริเวณราก ที่ดูดซับน้ำ และ แร่ธาตุ เป็นการกัก เก็บน้ำไว้บริเวณผิวดิน
7. บริเวณรากของต้นไม้ ที่ยึดผิวดิน ทำให้เกิดความแข็งแรงของบริเวณผิวดินป้องกันการพัง ทลายจากดินถล่ม เนื่องจากมีรากเป็นส่วนยึดผิวดินอยู่ ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัด คือ การสาธิต การนำหญ้าแฝกมาประยุกต์ ป้องกันการพังทลาย ของหน้าดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระปรีชา สามารถของพระมหากษัตริย์ ประเทศของเรา
8. เป็นแนวป้องกัน การเกิดน้ำท่วม เนื่องจาก เมื่อเกิดสภาพที่น้ำเกินสมดุล ท่วมลงมาจากยอดเขา จะมีแนวป่า ต้นไม้ ช่วยชะลอความแรง จากเหตุการณ์น้ำท่วม
9. ลำต้น สามารถ นำมาแปรรูปทำประโยชน์ ต่างๆ เช่น บ้านเรือน ที่พักอาศัย สะพาน เฟอร์นิเจอร์ เรือ 
10. การปลูกต้นไม้ เป็นการผ่อนคลายความเครียดได้อย่างนึง 
11. เมื่อเจริญ สามารถนำไปขายได้ราคา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก
12 ต้นไม้ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญต่อบรรดาสัตว์ป่า เป็นส่วนนึงในระบบนิเวศวิทยา ฯ

ต้นไม้มงคล10ชนิด

ไม้มงคล 10 ชนิดที่นิยมปลูก


1. ต้นมะยม

          ฟังแค่ชื่อ "มะยม" ก็พอเดาได้ใช่ไหมล่ะว่า ทำไมคนถึงนิยมปลูกต้นมะยมไว้ที่บ้านกัน ก็เพราะเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้าย หรือเป็นศัตรูนั่นเอง ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งก็บอกว่า หากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจได้




2. ต้นมะม่วง

          นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า หากปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้านแล้ว จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย


3. ต้นขนุน

          อีกหนึ่งต้นไม้ชื่อมงคลที่คนนิยมปลูกเช่นกัน เพราะตามความเชื่อของคนโบราณ บอกกันว่า การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้ ซึ่งหากบ้านไหนคิดจะปลูกต้นขนุนแล้วล่ะก็ ควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนลงมือปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี




4. ต้นมะขาม

          หากบ้านไหนต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม ตามความเชื่อเขาแนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามต่อผู้อื่น และทำให้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ ภูตผีปีศาจ และผีซ้ำด้ำพลอย



5. ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน

          ต้นไม้ประจำชาติไทยที่ออกดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามนี้ คนไทยสมัยโบราณเชื่อกันว่า หากนำมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน จะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ นอกจากนี้ จะช่วยให้คนในบ้านมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ด้วย เพราะต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำชาติไทย ส่วนใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว

6. ต้นกล้วย

          ต้นไม้ที่ปลูกง่ายอย่างต้นกล้วยนี้ ก็เป็นต้นไม้ที่คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันมาก เพราะนอกจากจะสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว เขายังมีความเชื่อด้วยว่า การปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นไง  


7. ต้นไผ่

          ตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย ทำให้เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนไทยที่เชื่อกันว่า หากปลูกต้นไผ่ไว้ในบริเวณบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านตั้งใจทำงาน ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่คดโกงเอารัดเอาเปรียบใคร นั่นก็เป็นเพราะลักษณะของต้นไผ่ที่มีลำต้นเหยียดตรง แข็งแรง สามารถต้านทานแรงลมพายุได้นั่นเอง 

          หากจะปลูกต้นไผ่ ควรปลูกไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า นอกจากนี้ ยังควรปลูกต้นไผ่ในวันเสาร์จึงจะเป็นมงคล อ้อ...ลืมบอกไปว่า ต้นไผ่มีหลากหลายชนิด ทั้งไผ่เหลืองทอง ไผ่สีสุก ไผ่เตี้ย ไผ่น้ำเต้า แต่คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า "มั่งมีศรีสุข" นั่นเอง



8. ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน

          เห็นหลาย ๆ บ้านนิยมปลูกต้นวาสนากัน เพราะชื่อเป็นมงคล จึงทำให้คนเชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภด้วย และการเสี่ยงทายด้วย โดยหลายคนเชื่อกันว่า หากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย 

          แล้วถ้าคิดจะปลูกต้นวาสนาล่ะก็ ตามตำราเขาแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี





9.ต้นกระดังงา

          หากต้องการให้วงศ์ตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดัง ต้นกระดังงา ก็คือต้นไม้มงคลตามความเชื่อของคนโบราณที่ปรารถนาให้ลูกหลานมีชื่อเสียงก้องกังวานไปไกล มีลาภยศสรรเสริญ มีเงินทอง ผู้คนทั่วไปนับหน้าถือตา เพราะชื่อ "กระดังงา" เป็นชื่อที่มีความหมายที่ดี และคนก็เชื่อกันว่า เสียงที่ดังนั้นไพเราะเพราะพริ้งดังก้องไปถึงสรวงสวรรค์เลยล่ะ

          นอกจากเรื่องชื่อเสียงโด่งดังแล้ว คนไทยยังเชื่อกันว่า กระดังงาเป็นต้นไม้ที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้สมาชิกในบ้านให้เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป และมีชีวิตที่หอมหวลเหมือนกับกลิ่นหอมของดอกกระดังงา บ้านไหนที่คิดจะปลูกกระดังงาควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว เพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าน และครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้าน



10.ต้นโป๊ยเซียน

          ต้นไม้แห่งโชคลาภที่คนไทยนิยมปลูกกันมากอีกชนิด เพราะเชื่อว่าจะทำลาภผลมาให้ และจะทำให้ครอบครัวสงบสุข ขณะเดียวกัน บางคนยังเชื่อว่า โป๊ยเซียน เป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ

          ทั้งนี้ ตามเคล็ดปฏิบัติการปลูกต้นโป๊ยเซียน ควรจะให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทิศมงคลของต้นโป๊ยเซียน จะยิ่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้ผู้อยู่อาศัย และควรปลูกในวันพุธ เพื่อให้ดอกที่ออกงดงามตามความเชื่อคนโบราณนั่นเอง ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลที่สุด


การดูเเลเเละการป้องกันศัตรูพืช

การดูแลรักษาโดยทั่วไป

การปลูกเลี้ยงไม้กระถาง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างดี และสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้ไม้กระถางมีอายุยืน และคงความสวยงามไว้ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนกระถาง หรือต้นไม้บ่อยครั้ง การดูแลรักษาโดยทั่วไปจึงควรคำนึงถึงความสำคัญดังต่อไปนี้
1.ไม่ควรตั้งไม้กระถางในที่ที่มีลมแรงมาก หรือตั้งใกล้ที่มีไอร้อนมาก เช่น อยู่ใกล้เครื่องแอร์(คอนเดนเซอร์)  ไม้กระถางส่วนมากไม่ชอบให้ลมพัดโกรกมาก หรืออุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้พืชมีการระเหยน้ำมากจนต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาตายได้ โดยเฉพาะการใช้ไฟส่องแสงสว่างแรงๆ และใกล้ต้นไม้เกินไป ทำให้ต้นไม้ทนความร้อนไม่ไหวทำให้เหี่ยวเฉาตายได้ในที่สุด
2.การนำไม้กระถางไปใช้งานหรือประดับในห้องต่างๆ ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาการใช้งานของไม้แต่ละกลุ่มด้วย เช่น ไม้กลางแจ้งจำพวกหมากเหลือง ไทร ไผ่ วาสนา หากนำไปใช้ประดับในร่ม หรือในอาคาร จะมีช่วงเวลาของการใช้งาน 6-8 สัปดาห์ ก็ควรสับเปลี่ยนไม้ชุดใหม่เข้าแทน เพื่อจะได้พักฟื้นไม้ประดับชุดเก่า
3.ส่วนไม้ในร่มหรือกึ่งร่ม เช่น โมก คล้า อะโกลนีมา เปปเปอโรเมีย ฟิโลเดนดรอน พลูด่าง เฟิร์น รวมทั้งกลุ่มไม้ดอก เช่น กล็อกซีเนีย กล้วยไม้ อาฟริกันไวโอเลท จะอยู่ได้นานกว่า เพราะไม้กลุ่มนี้ต้องการแสงจำกัดอยู่แล้ว อายุการใช้งานอาจจะถึง 8–10 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานของไม้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ถ้ายิ่งใช้งานช่วงเวลาสั้นจะดีกว่า เพราะไม่ทำให้ต้นไม้โทรมหรือช้ำมาก ไม้จะฟื้นตัวเร็วและคงความสวยงามได้นาน ดังนั้นสำหรับไม้ประดับในร่มแล้ว จึงควรเตรียมไม้ประดับไว้หลายชุด เพื่อใช้สับเปลี่ยน
4.ไม้กระถางที่ใช้ประดับนอกอาคารนั้น สำคัญที่สุดก็คือการให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำแล้วจะเหี่ยวเฉา จึงควรมีจานรองก้นกระถางหล่อน้ำเอาไว้ จะช่วยได้มาก 

5.การดูแลทำความสะอาดใบ ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะใบที่สะอาดคือใบที่แข็งแรง การล้างใบเป็นการล้างเอาฝุ่นละอองออกจากใบ นอกจากจะทำให้ใบสะอาดสวยงามแล้ว ยังทำให้พืชสามารถปรุงอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย วิธีล้างใบควรใช้น้ำสบู่อ่อนๆ จะไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อใบ ไม่ควรใช้ผงหรือน้ำยาซักฟอกประเภทกัดรุนแรงโดยเด็ดขาด
6.ส่วนโรคที่พบอยู่เสมอได้แก่โรคโคนเน่า มักเกิดกับพืชในระยะที่เป็นต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้ แสดงอาการใบเหี่ยว เมื่อดูที่โคนต้นระดับผิวดินจะพบรอยเน่า และต้นล้มตายในที่สุด การป้องกันให้พยายามทำให้บริเวณโคนต้นโปร่ง มีการระบายอากาศดี มีแสงแดดส่องถึง และรักษาผิวหน้าดินปลูกอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป



การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช

การกำจัดแมลงศัตรูพืช

การป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นความจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการดูแลรักษาไม้กระถาง เพราะแมลงเป็นศัตรูต่อการเจริญเติบโตของพืช ที่พบมากมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.แมลงประเภทปากกัด ได้แก่ ตั๊กแตน หนอนผีเสื้อ ด้วง ฯลฯ ทำลายโดยกัดกินใบ ทำให้ต้นไม้ไม้สามารถปรุงอาหารได้ และชะงักการเจริญเติบโต แมลงปากกัดบางชนิดกัดแทะเข้าไปถึงกิ่งก้านหรือลำต้น ทำให้ท่อน้ำท่ออาหารของต้นไม้เสียหาย ถ้าถูกทำลายมากต้นไม้จะเหี่ยวและตายในที่สุด วิธีกำจัดโดยการใช้ยาประเภทถูกตัวตายหรือกินตายฉีดพ่น หากพบจำนวนไม่มากให้จับทำลาย
2.แมลงประเภทดูดน้ำเลี้ยง ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน แมงมุมแดง เพลี้ยหอย ฯลฯ ทำลายโดยดูดน้ำเลี้ยงจากใบ แมลงปากดูดบางชนิดยังปล่อยสารพิษให้ต้นไม้ใบสีซีดเหี่ยวแห้ง ใบร่วงก่อนกำหนด ชะงักการเจริญเติบโต และแห้งตายในที่สุด วิธีกำจัดโดยการฉีดยาประเภทถูกตัวตาย 




ข้อควรระวัง 

เนื่องจากการปลูกไม้กระถางประดับเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับคน หากสามารถหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชได้มากเท่าไรหรือไม่ใช้เลยยิ่งดี โดยเฉพาะไม้กระถางที่ใช้ประดับในอาคารบ้านเรือน หากจำเป็นต้องใช้ยากำจัดแมลงควรกระทำอยู่ภายนอกอาคารและหลีกเลี่ยงยาที่มีอันตรายมากๆ มีฤทธิ์ตกค้างนานและมีกลิ่นรุนแรง ก่อนนำพรรณไม้เข้าประดับในอาคารควรงดฉีดยา หรือทิ้งไว้จนหมดกลิ่นและฤทธิ์เสียก่อน สิ่งสำคัญควรเลือกใช้ยาให้ถูกต้องกับแมลงที่ต้องการกำจัด แล้วนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะโดยทั่วไปยาฆ่าแมลงมีอันตรายต่อคนอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีอันตรายก็ยิ่งมากขึ้น


การกำจัดโรคพืช

โรคพืชที่พบบ่อยในไม้กระถางได้แก่  โรคโคนเน่า  ลักษณะอาการแสดงออกที่บริเวณโคนต้นระดับผิวดินจะเน่าและต้นจะล้มตายในที่สุด  ทางป้องกันหรือลดความเสียหายทำได้โดยการกำจัดวัชพืชและตัดแต่ง ช่วยให้โคนต้นโปร่งมีการระบายอากาศ แสงแดดส่องได้ทั่วถึง  และพยายามรดน้ำให้น้อยลง รักษาผิวหน้าดินอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป
การกำจัดวัชพืช
วัชพืชหรือหญ้าต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ในเครื่องปลูกจะเป็นตัวแย่งอาหารจากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ไม่สวย และยังเป็นที่อยู่อาศัยหรือแหล่งสะสมของโรคแมลงบางชนิดด้วย การกำจัดวัชพืชควรทำในขณะที่วัชพืชยังเป็นต้นอ่อน ยังไม่ออกดอกติดเมล็ด เพราะเมล็ดแก่อาจหล่นลงในเครื่องปลูกงอกเป็นต้นอ่อนได้ ทำให้ต้องเสียเวลาในการกำจัดต่อไปอีก วิธีการกำจัดวัชพืชอาจใช้วิธีถอนด้วยมือ แซะหรือขุดด้วย พลั่วมือ เสียม หรือจอบ โดยพรวนดินร่วมไปด้วย


การตัดแต่ง


การตัดแต่ง ไม้ประดับหลังจากปลูกประดับไปนานๆ ส่วนยอด กิ่งก้าน หรือใบจะยืดยาวเจริญไม่เป็นระเบียบ ขาดความสวยงาม จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งออกบ้าง เพื่อรักษาทรงพุ่มให้สวยงามยิ่งขึ้น หากมีกิ่งหักเสียหายที่เกิดจากการเคลื่อนย้าย กิ่งมีโรคแมลงเข้าทำลาย หรือกิ่งแห้ง ควรตัดออกให้ดูสวยงามและยังเป็นการรักษาสุขภาพของต้นไม้ให้ดีขึ้นด้วย โดยใช้กรรไกรตัดแต่งหรือมีดคมๆ เพื่อไม่ให้แผลที่ตัดช้ำมากนัก

เรื่องตอนนี้ นับว่าจะเป็นวิชาการ และละเอียดกว่าตอนอื่นๆ แต่การปลูกต้นไม้ ไม่ต้องห่วงเรื่องวิชาการจนเกินไป  ผมอยากให้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์มากกว่า ปลูกไปเรื่อยๆ เรียนรู้ต้นไม้เอง เมื่อมีอะไรติดขัดนึกไม่ออก แก้ไม่ได้ ค่อยมาเปิดตำราดู

และอย่าปลูกต้นไม้ด้วยความเครียด อย่าคิดว่าเป็นงาน เป็นหน้าที่ เราต้องปลูกด้วยความสบาย ผ่อนคลาย เป็นงานอดิเรกที่ให้เราได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับธรรมชาติ ให้ความรักกับต้นไม้ เหมือนเขาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตของเรา และเขาก็ตอบแทนเราด้วยความสดชื่น ชีวิตชีวา พอๆกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือเครื่องบันเทิงชนิดอื่นๆ



ขั้นตอนในการปลูกต้นไม้

วิธีการปลูกไม้กระถาง และการบำรุงรักษา 

ขั้นตอนนี้ เป็นรายละเอียดของการลงกระถางต้นไม้  ตอนที่เราซื้อมา อาจเป็นถุงมา หรือกระถางเดิมเล็กไป ต้องมีการเปลี่ยนย้าย เราก็ต้องออกแรง อีกสักหน่อย จึงจะได้ไม้กระถางสวยตามต้องการ  แต่นอกจากความสวยงามแล้ว เรายังต้องรู้จักต้นไม้ของเราอย่างดีด้วย ว่าเขาชอบดินอะไร  เมื่อซื้อกระถางใหม่ ก็จะต้องจัดซื้อดินมาเตรียมพร้อมไว้เลย 




ดินหรือเครื่องปลูก


ในธรรมชาตินั้น ต้นไม้เจริญเติบโตหรือขึ้นได้ในพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมของพรรณพืชแต่ละชนิด แต่การปลูกเลี้ยงไม้กระถาง เป็นการกำหนดให้ต้นไม้ต้องอยู่ในที่ที่จำกัด  ในภาชนะปลูกหรือกระถางของเรา  ดินหรือเครื่องปลูกจึงมีความจำเป็น ต้องมีคุณสมบัติในการยึดลำต้น การอุ้มน้ำ การถ่ายเทอากาศ และง่ายในการที่รากจะไชชอนได้สะดวก การปลูกพืชในกระถาง รากพืชจะถูกจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะภายในกระถางเท่านั้น แต่มันก็ไม่วายที่จะยาวและชอนไชลงไปหาดินจนได้ เราก็ต้องคอยดูหรือสังเกตุ คาวมเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย

ดังนั้นเพื่อให้พืชเจริญเติบโตตามความประสงค์ของเรา ดินหรือวัสดุปลูก ควรมีความอุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพดี  โดยมีคุณสมบัติทั่วไปดังนี้ (ส่วนที่ไม่ทั่วไปต้องเปลี่ยนแปลงสูตรไปตามพืชที่ต้องการเลี้ยงเป็นพิเศษ เช่นพวกบอนไซ พวกตะบองเพชร ฯลฯ)
1.ดินร่วนโปร่ง น้ำหนักเบา ระบายน้ำได้ดี ถ่ายเทอากาศได้ทั่วถึง ดูดซับน้ำได้ดี
2.มีธาตุอาหาร หรือปุ๋ยที่พืชต้องการอย่างสมบูรณ์
3.ไม่มีความเป็นกรด เป็นด่างมากเกินไป
4.มีความแน่นพอที่จะยึดให้ลำต้นทรงตัวอยู่ได้
5.ไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อรากพืช 


เนื่องจากดินปลูกไม้กระถางอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด ดินปลูกจึงควรมีลักษณะร่วน โปร่ง อุ้มน้ำ หรือเก็บความชื้นได้ดี สามารถระบายน้ำ และถ่ายเทอากาศได้ดี ดินทั่วไปมีคุณสมบัติทางเคมี และทางกายภาพที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมเป็นเครื่องปลูกไม้กระถางจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพโดยมีวัสดุอื่นๆ เป็นส่วนผสมดังนี้
1.อินทรีวัตถุ ประกอบด้วย เศษซากใบไม้ผุ เปลือกไม้แห้ง แกลบ ขุยมะพร้าว กาบมะพร้าวสับ ฟางข้าว และเปลือกถั่ว เป็นต้น
2.ปุ๋ยคอก ประกอบด้วย ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้ไก่ และขี้ค้างคาว เป็นต้น
3.ทราย อิฐป่น และถ่านป่น
วัสดุดังกล่าวเมื่อนำมาผสมกับดินธรรมชาติแล้ว จะมีคุณสมบัติร่วน โปร่ง มีน้ำหนักเบา อินทรีวัตถุ นอกจากจะช่วยปรับสภาพเนื้อดินให้ดีขึ้นแล้ว ยังพบว่ามีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของไม้กระถาง คือเป็นปุ๋ยโดยตรงกับพืช แต่อาจจะไม่มากเหมือนปุ๋ยเคมีก็ตาม
ดินปลูกที่ดีสำหรับไม้กระถางต้องคงทน มีอายุการใช้งานได้นาน ไม่สลายหรือยุบตัวเร็ว ดินปลูกที่มีส่วนผสมของเปลือกถั่ว แกลบ เปลือกไม้แห้ง กาบมะพร้าว จะอยู่ได้นานกว่าดินที่มีส่วนผสมใบไม้ผุ ฟางข้าว หรือ หญ้าแห้ง









ตัวอย่างส่วนผสมของดินปลูกไม้กระถาง
ส่วนผสมดินปลูกไม้กระถางทั่วไป
สูตรที่ 1 : ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย  2   ส่วน
              อินทรีวัตถุ                        1   ส่วน
              ปุ๋ยคอก                           1   ส่วน
สูตรที่ 2 : ดินร่วน                   1     ส่วน
              ทรายหยาบ             1     ส่วน
              ใบไม้ผุ                  1     ส่วน
              ถ่านป่น                 1/4   ส่วน
สูตรที่ 3 : ดินร่วน                   1     ส่วน
              ทรายหยาบ             1     ส่วน
              ใบไม้ผุ                   1     ส่วน
              ปุ๋ยคอก                 1/4   ส่วน

ในกรณีที่ดินเป็นดินเหนียวควรใช้ส่วนผสมดังนี้
สูตรที่ 4 : ดินเหนียว                2     ส่วน
              ขี้เถ้าแกลบ              1     ส่วน
              ปุ๋ยคอก                   1    ส่วน
              เปลือกถั่ว                1     ส่วน


ในกรณีดินที่มีความเป็นกรดสูง เช่น ดินนา ดินเหนียวในร่องน้ำนิ่ง ต้องใช้ปูนเป็นส่วนผสม เช่น ปูนดิบ หรือปูนสุก (ปูนขาว) ปูนจากเปลือกหอยเผาเป็นส่วนผสม อัตราส่วนของปูนครึ่งกิโลกรัมต่อส่วนผสมดินปลูก 10 ปีบ

ซึ่งในปัจจุบัน ดินปลูกต้นไม้ จะมีขายตามสูตรต่างๆอยู่แล้ว เราสามารถหาซื้อได้ โดยไม่ต้องมานั่งผสมเอง แต่ควรเลือกดูส่วนผสม ให้ตรงกับต้นไม้ที่เราจะปลูก 





ขนาดและจำนวนของต้นไม้ ที่จะปลูก 

การปลูกไม้กระถางนั้น เราต้องคำนึงถึงความสมดุลของ ขนาดของต้นไม้ และกระถาง ควรให้เหมาะสมกัน ถ้าต้นไม้ยังเล็กอยู่ก็ใช้กระถางเล็กไปก่อน พอต้นไม้โตพอที่จะเปลี่ยนกระถางจึงเปลี่ยนกระถาง ตามขนาดของต้นไม้ เนื่องจากการปลูกไม้กระถางเป็นไม้ประดับนั้นต้องการความสวยงามเป็นหลักอยู่แล้ว

ควรปลูกต้นไม้ต้นเดียวในหนึ่งกระถาง เพื่อให้ไม้ในกระถางโตเร็ว ไม่ว่าจะใช้ต้นไม้เป็นทรงพุ่ม แตกกิ่งก้านแผ่มาก ก็ควรปลูกต้นเดียวในหนึ่งกระถางเช่นกัน  ส่วนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านน้อยทรงสูง แต่ถ้าเราต้องการให้เป็นพุ่มเพื่อความสวยงาม ก็จะปลูกลงหลายต้นในหนึ่งกระถางก็ได้  จำนวนต้นจึงแล้วแต่ความเหมาะสม ระหว่างต้นไม้กับขนาดของกระถาง  ถ้าต้นไม้เป็นไม้ทรงสูงมีลำต้นเดี่ยวตั้งตรงแล้วแตกพุ่มตอนบน ก็ต้องปลูกลงต้นเดียวในหนึ่งกระถาง


วิธีการปลูก

เมื่อเลือกกระถางตามความเหมาะสมกับต้นไม้ที่จะปลูกแล้ว เราเริ่มปลูกตามขั้นตอนดังนี้
1.เอาเศษอิฐ หรือเศษกระถางแตก อุดที่รูระบายน้ำที่ก้นกระถางเสียก่อน ถ้าจะให้ดีต้องโรยทับด้วยกรวด อิฐมอญทุบ หรือถ่านอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ได้ เพื่อให้ก้นกระถางโปร่ง และระบายน้ำได้ดี
2.จากนั้นเอาดินหรือเครื่องปลูกที่เตรียมไว้ใส่กระถาง และทำมูลดินเป็นยอดแหลมเท่ากับความลึกของดินที่ปลูก
3.ก่อนปลูกหากไม้มีรากมากเกินไปควรตัดรากเก่าออกบ้าง เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างระบบรากใหม่ที่แข็งแรง และแตกแขนงได้มากขึ้น
4.วางโคนต้นไม้ลงบนยอดแหลมของมูลดิน และจัดระบบรากให้แผ่ออก รอบด้าน และทิ้งตัวลงตามแนวลาดของมูลดิน
5.เติมดินรอบๆโคนต้น เพียงเล็กน้อยก่อน แล้วกดดินบริเวณรอบๆโคนต้นเบาๆ เป็นการไล่โพรงอากาศ และเพื่อให้ดินสัมผัสรากพืชได้กระชับขึ้น
จากนั้นเติมดินและกดเบาๆ จนเกือบเต็มกระถาง ให้ระดับดินอยู่ต่ำกว่าขอบกระถางพอประมาณ พยายามอย่าเติมดินจนเต็มหรือพูนกระถางจนเกินไป เพราะเวลารดน้ำจะทำให้น้ำไหลออกนอกกระถาง แทนที่จะซึมลงกระถาง และเลอะเทอะพื้น แต่ถ้าเติมดินน้อยเกินไป ก็จะทำให้ดินยุบตัวจนเกิดรากลอย หรือทำให้บริเวณโคนต้นชื้นเกินไป เป็นสาเหตุให้เกิดโรคราได้ง่ายขึ้น




การให้น้ำ

การให้น้ำต้นไม้ที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งสำคัญในการปลูก เพราะการให้น้ำมากเกินไป น้อยเกินไป หรือให้น้ำไม่ถูก วิธีเหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชทั้งสิ้น  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ชนิดของพรรณพืช สภาพของดิน หรือเครื่องปลูก และสภาพแวดล้อม เช่น ในร่ม กลางแจ้ง มีลมพัดผ่านหรือไม่ อุณหภูมิ และฤดูกาล เป็นต้น
ถ้าพืชได้รับน้ำน้อยเกินไป จะทำให้ใบเหี่ยว เนื่องจากน้ำในดินมีไม่พอให้รากดูดไปเลี้ยงลำต้น ช่วงเวลาใกล้เที่ยงถึงบ่าย 3 โมงเย็น เป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดพืชจะคายน้ำมาก เมื่อคายน้ำมากแล้วรากต้องดูดน้ำมาชดเชยให้กับใบที่เสียน้ำไปกับอากาศ  ถ้าชดเชยไม่ทันก็จะทำให้ใบเหี่ยว การปลูกต้นไม้ เราอย่าคิดว่ามันพูดไม่ได้ เอาใจลำบาก อย่างใบเหี่ยวนี่ ก็เป็นการบอกของมันอย่างหนึ่งเลย มันฟ้องว่า เราลืมรดน้ำอีกแล้ว หรือรดน้ำน้อยไป ไม่เพียงพอ
แต่ถ้าน้ำมากจนเต็มช่องว่างทั้งหมดของดิน และไล่อากาศออกทำให้ดินอิ่มตัวจนเกิดน้ำขัง ก็จะไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช เพราะจะทำให้พืชขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการหายใจของราก  ถ้าดินมีน้ำขังเพียง 2–3 วัน พืชจะมีอาการเหี่ยวทั้งๆ ที่ไม่ขาดน้ำ พืชบางชนิดอาจตายได้ แต่ในทางกลับกันถ้าพืชได้รับน้ำน้อยเกินไป ต้นก็เหี่ยวเหมือนกัน 

การปลูกต้นไม้



การปลูกต้นไม้






1. เลือกกระถางให้เหมาะสม

          ขนาดกระถางและขนาดต้นไม้เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ที่เราควรต้องคำนึงถึง เพราะหากต้นไม้มีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่ากระถาง ก็จะดูไม่สมดุล ดังนั้นจึงควรเลือกกระถางให้เหมาะสม รวมไปถึงต้องตรงกับความต้องการของเราด้วย เช่น หากว่าต้นไม้เป็นพันธุ์ที่โตเร็ว และต้องเปลี่ยนกระถางบ่อย ๆ ก็ควรเลือกใช้กระถางใหญ่ที่มีลักษณะกลม ปากกว้าง ซึ่งเป็นกระถางที่ใช้กันทั่วไปและเป็นที่นิยม เพราะง่ายต่อการย้ายต้นไม้ลงดิน หรือถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบจัดสวน เคลื่อนย้ายตำแหน่งกระถางต้นไม้บ่อย ๆ ก็ควรเลือกใช้กระถางที่ทำจากโฟม หรือกระถางที่ทำมาจากไฟเบอร์กลาสเพราะมีความเบา เคลื่อนย้ายสะดวก ส่วนถ้าต้องการกระถางที่มีความหนักแน่น ก็ควรเลือกใช้กระถางเซรามิก หรือกระถางที่ทำมาจากปูน

 2. ควรใช้ดินผสม

          ดินที่ใช้ในกระถางต้นไม้ควรจะเป็นดินปนทราย ที่มีพีทมอส ปุ๋ยหมัก ขุยมะพร้าว ถ่านป่น หรืออิฐป่น ผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยให้พืชได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ไม่มีความเป็นกรด-ด่างในดินมากเกินไป และเพื่อให้ดินถ่ายเทอากาศ และอุ้มน้ำได้ดี นอกจากนี้ควรหมั่นพรวนดินในกระถางด้วยตะเกียบหรือไม้แหลมก็ได้ และควรใส่ปุ่ยเพื่อบำรุงให้ต้นไม้เจริญงอกงามอยู่เสมอด้วย

 3. ปลูกพืชตามความชอบ

          การจะปลูกพืชในกระถางให้สวยงาม สำคัญที่คุณต้องชอบต้นไม้หรือดอกไม้ชนิดนั้นด้วย หากว่าคุณเป็นคนที่ชอบไม้ดอก ก็เลือกปลูกมะลิ กุหลาบ หอมเจ็ดชั้น เป็นต้น แต่ถ้าชอบพืชที่มีความทนทาน และเป็นไม้มงคลก็เลือกปลูกพลูด่าง เศรษฐีเรือนใน เป็นต้น ส่วนคนที่ชอบไม้ดอกพุ่มกะทัดรัด แนะนำให้ปลูกแอฟริกันไวโอเลต พิทูเนีย หรือเฟิร์นต่าง ๆ ก็ได้ ชอบแบบไหน ก็เลือกปลูกกันได้ตามสบาย

 4. เลือกต้นไม้ที่มีสุขภาพดี

          ต้นกล้าที่จะนำมาปลูกต้องมีความสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ และสุขภาพดี ไม่มีโรคพืช หรือแมลงติดมาเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้พืชโตช้า หรือตายเร็ว เผลอ ๆ อาจจะแพร่กระจายโรคพืชไปยังต้นไม้ต้นอื่นด้วย ดังนั้นก่อนเลือกพันธุ์ไม้มาปลูกในกระถาง ก็ควรต้องเลือกพืชที่มีใบเขียวสด และลำต้นแข็งแรง ดูพร้อมจะเจริญเติบโตได้อย่างดี เคลื่อนย้ายกระถางไม่ลำบากด้วย

 5. ดูแลให้ถูกต้อง

          เพื่อให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโตได้อย่างดี มีความสวยงามแข็งแรง จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อย ๆ เราก็ควรดูแลต้นไม้ในกระถางให้ถูกวิธี ด้วยการเลือกใช้ดินให้เหมาะสมกับชนิดพืช อย่าลืมปนกรวดลงไปในดินเพื่อให้ช่วยยึดพืช และเพิ่มช่องว่างให้อากาศและน้ำถ่ายเทได้สะดวก ไม่ขังอยู่ในกระถางจนรากเน่า นอกจากนี้ควรรดน้ำอย่างพอดีกับต้นไม้ และหมั่นนำไปวางกลางแจ้ง เพื่อเปิดโอกาสให้พืชได้รับแสงอาทิตย์ไว้คอยสังเคราะห์แสงด้วย แต่ก็ไม่ควรตั้งกระถางต้นไม้ในที่ที่มีความร้อนหรือแดดแรงจนเกินไป ลมโกรกมาก ๆ ก็ไม่เหมาะ เพราะอาจจะทำให้ลำต้นโย้เอียงได้




 6. จัดเรียงกระถางให้เหมาะสม

          เราสามารถเลือกปลูกดอกไม้ในกระถางได้หลายชนิด แต่ก็ควรจัดวางกระถางให้เหมาะสม โดยจัดวางกระถางในตำแหน่งที่แสงสามารถส่องถึง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ที่สำคัญต้องจัดเรียงลำดับกระถางให้ดี เแนะนำให้เรียงตามลำดับความสูง กระถางที่มีต้นไม้สูง ๆ ก็ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งที่จะบังแสงที่จะส่องไปถึงต้นไม้เล็ก ๆ ได้ จะได้ไม้แย่งแสงกัน พาให้ต้นไม้พันธุ์ที่เตี้ยกว่า เสียโอกาสรับธาตุอาหารได้อย่างเต็มที่

 7. รดน้ำอย่างถูกวิธี

          หากสังเกตเห็นว่าหน้าดินเริ่มแห้ง ก็แสดงว่าต้นไม้เริ่มขาดน้ำ แต่การจะรดน้ำต้นไม้ในกระถางให้ต้นไม้ได้น้ำอย่างเต็มที่ อันดับแรกต้องดูที่ชนิดต้นไม้ก่อน ว่าเป็นพืชที่ชอบน้ำมากน้อยแค่ไหน ถ้าชอบน้ำน้อย ให้รดน้ำด้วยวิธีใช้ขวดสเปรย์ฉีดพรมจนชุ่มก็ได้ แต่ถ้าเป็นต้นไม้ชนิดที่ชอบน้ำมาก ให้ค่อย ๆ ใช้น้ำอุ่นรดลงไปที่หน้าดิน เพราะน้ำอุ่นจะซึมลงสู่ดินได้ง่ายกว่าน้ำอุณหภูมิปกติ ระหว่างที่รดน้ำก็ค่อย ๆ ใช้ดินสอหรือตะเกียบจิ้มดินให้เป็นรู เพื่อช่วยให้น้ำซึมลงสู่รากได้อย่างทั่วถึง

 8. ให้ปุ๋ยและสารอาหารสม่ำเสมอ

          ต้นไม้อาจจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ถ้าเราไม่ให้ปุ๋ยเป็นอาหารเสริมเลย ดังนั้นนอกจากการดูแลขั้นพื้นฐานอย่างการรดน้ำพรวนดินแล้ว เราก็ควรต้องใส่ปุ๋ยและกำจัดแมลง รวมถึงศัตรูพืชด้วย จะเลือกใช้น้ำหมักธรรมชาติ หรือปุ๋ยตามชนิดที่พืชต้องการก็ได้ หมั่นดูแลเขาอย่างสม่ำเสมอ เขาจะได้เติบโตสวยงามให้เราชื่นชมไปนาน ๆ

 9. ตัดแต่งสักนิด


          ต้นไม้ที่มีใบแห้ง เริ่มเหลือง หรือกิ่งเริ่มไม่สวยงาม เราก็ควรตัดแต่งกิ่ง ริดใบเหลือง ๆ และคอยตรวจตราดูเพลี้ยและศัตรูพืชอยู่เสมอ เพราะการริดใบที่เริ่มเน่า ใบที่เป็นโรค และการตัดแต่งกิ่งส่วนเกิน จะช่วยรักษาระดับน้ำและสารอาหารให้พืช ไม่ต้องส่งไปยังกิ่งหรือใบเหล่านี้อีก แต่การตัดแต่งกิ่งหรือริดใบทุกครั้งควรใช้อุปกรณ์ตัดแต่งกิ่งด้วยนะคะ เพราะหากริดใบด้วยมือ อาจจะส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงราก ทำให้รากของต้นไม้เสียหายได้

 10. ถึงเวลาเปลี่ยนถ่าย

          
          เมื่อพืชเริ่มหยุดการเจริญเติบโต และไม่ค่อยรับน้ำแล้ว ก็ให้ตรวจสอบดูที่รากของต้นไม้ได้เลย เพราะนี่คือสัญญาณที่บอกว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนกระถางเพราะต้นไม้โตเกินกว่าที่จะอยู่ในกระถางเดิมแล้ว เอาล่ะ! ได้เวลาย้ายที่อยู่ไปยังกระถางที่ใหญ่กว่า หรือบางต้นที่มีรากเยอะมาก ก็อาจจะแยกปลูกเป็น 2-3 กระถางได้เลย



ประวิติการเกษตร



การเกษตร
ประวัติการเกษตร
      เกษตรกรรมในประเทศไทยอาจสืบย้อนไปได้ผ่านแง่ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสังคม ซึ่งได้ก่อให้เกิดการเข้าถึงเกษตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยสมัยใหม่ หลังการปฏิวัติยุคหินใหม่ สังคมในพื้นที่ได้วิวัฒนาจากการล่าสัตว์และหาของป่า ผ่านระยะนครเกษตร ไปเป็นจักรวรรดิรัฐศาสนา การอพยพเข้ามาของคนไทยนำไปสู่การเข้าถึงเกษตรกรรมแบบยั่งยืนอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบกิจเกษตรกรรมอื่นส่วนมากของโลก
นับตั้งแต่ พ.ศ. 1543 วัฒนธรรมการผลิตข้าวเหนียวของชาวไทเป็นตัวกำหนดโครงสร้างการบริหารในสังคมที่เน้นการปฏิบัติซึ่งผลิตส่วนเกินที่สามารถจำหน่ายได้ จวบจนถึงปัจจุบัน ระบบดังกล่าวได้รวมเป็นหนึ่งกับความมั่นคงของชาติและความอยู่ดีกินดีทางเศรษฐกิจ อิทธิพลของชาวจีนและชาวยุโรปก่อให้เกิดธุรกิจการเกษตรและเริ่มต้นความต้องการที่ทำให้เกิดการขยายตัวของเกษตรกรรมผ่านการเพิ่มจำนวนของประชากรจนกระทั่งดินแดนที่เข้าถึงได้ขยายออก
พัฒนาการล่าสุดในทางเกษตรกรรม หมายความว่า นับแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 การว่างงานได้ลดลงจากกว่า 60% เหลือต่ำกว่า 10% ในต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 ในสมัยเดียวกัน ราคาอาหารลดลงครึ่งหนึ่ง ความหิวโหยลดลง (จาก 2.55 ล้านครัวเรือนใน พ.ศ. 2531 เหลือ 418,000 ครัวเรือนใน พ.ศ. 2550) และทุพภิกขภัยเด็กลดลงอย่างมาก (จาก 17% ใน พ.ศ. 2530 เหลือ 7% ใน พ.ศ. 2549) ซึ่งสามารถบรรลุได้
(ก) ผ่านการผสมระหว่างบทบาทอันเข้มแข็งและเชิงบวกของรัฐในการประกันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาและการเข้าถึงเครดิต และ
(ข) การริเริ่มภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจเกษตร

เกษตรกรรมช่วงเปลี่ยนผ่าน
     เกษตรกรรมสามารถขยายตัวได้ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อสามารถเข้าถึงที่ดินใหม่และแรงงานว่างงาน ระหว่าง พ.ศ. 2505 ถึง 2526 ภาคการเกษตรโตขึ้นเฉลี่ย 4.1% ต่อปี และ พ.ศ. 2523 ภาคเกษตรมีถึง 70% ของประชากรทำงาน กระนั้น รัฐยังรับรู้ถึงพัฒนาการในภาคเกษตรว่าจำเป็นต่อการกลายเป็นอุตสาหกรรม (industrialization) และการส่งออกถูกเก็บภาษีเพื่อรักษาราคาภายในประเทศให้ต่ำและเพิ่มรายได้แก่การลงทุนของรัฐในเศรษฐกิจภาคอื่น เมื่อมีการพัฒนาในภาคอื่น แรงงานจึงออกไปแสวงหางานในเศรษฐกิจภาคอื่น และการเกษตรถูกบีบให้ใช้คนน้อยลงและเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยได้รับความสะดวกจากกฎหมายของรัฐซึ่งบังคับให้ธนาคารออกเครดิตราคาถูกให้แก่ภาคเกษตร และได้รับเครดิตของตนผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รัฐยังลงทุนในการศึกษา ชลประทานและถนนชนบทต่อไป ผลคือ การเกษตรเริ่มเติบโตที่ 2.2% ระหว่าง พ.ศ. 2526 และ 2550 แต่ยังเป็นว่าเกษตรกรรมปัจจุบันให้งานคนชนบทเพียงครึ่งหนึ่ง เพราะเกษตรกรกำลังใช้ประโยชน์จากการลงทุนเพื่อให้มีความหลากหลาย
แม้เกษตรกรรมมีความสำคัญในทางการเงินสัมพัทธ์ถดถอยลงในแง่ของรายได้เทียบกับการที่ประเทศไทยกลายเป็นอุตสาหกรรมและแผลงเป็นอเมริกัน (Americanization) นับจากคริสต์ทศวรรษ 1960 แต่เกษตรกรรมยังให้ประโยชน์ด้านการจ้างงานและการพึ่งพาตนเอง การสนับสนุนสังคมชนบท และการปกป้องวัฒนธรรม กำลังโลกาภิวัตน์ทางเทคนิคและเศรษฐกิจบีบได้ดำเนินการเปลี่ยนเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมอาหารต่อไป และดังนั้น เกษตรกรผู้ถือครองรายย่อยจึงได้รับความเสี่ยง ธรรมชาติดั้งเดิมและคุณค่ามนุษย์ลดลงอย่างมากในทุกพื้นที่ยกเว้นพื้นที่ยากจน
ธุรกิจเกษตร ทั้งที่รัฐและเอกชนเป็นเจ้าของ ขยายตัวนับจากคริสต์ทศวรรษ 1960 และเกษตรกรยั่งยืนถูกบางส่วนมองว่าเป็นมรดกสืบทอดจากอดีตจากเดิมที่สามารถทำให้ทันสมัยเป็นธุรกิจเกษตรได้ อย่างไรก็ดี ระบบการผลิตผสมผสานเข้มข้นเกษตรยั่งยืนยังให้ประสิทธิภาพ ซึ่งอาจไม่ใช่ทางการเงิน แต่รวมถึงประโยชน์ทางสังคมซึ่งปัจจุบันทำให้เกษตรกรรมถูกปฏิบัติเป็นทั้งภาคสังคมและเศรษฐกิจในการวางแผน ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้น "เกษตรกรอาชีพ" คิดเป็น 19.5% ของเกษตรกรทั้งหมดใน พ.ศ. 2547
ด้านที่เป็นเอกลักษณ์ของเกษตรกรรมไทยมีเทคโนโลยีชลประทานซึ่งมีมากว่าสหัสวรรษ นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างบริหารจัดการซึ่งกำเนิดจากการควบคุมน้ำเพื่อการเกษตร ประเทศไทยเป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตและส่งออกโภคภัณฑ์การเกษตรหลายชนิด และภาคธุรกิจเกษตรของไทยมีหนึ่งในบรรษัทข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดของโลกรวมอยู่ด้วย ยังมีศักยะที่ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นอีกมากจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ปัจจุบัน
ประเทศไทยเป็นผู้นำโลกในการผลิตและส่งออกข้าว ยาง สับปะรดกระป๋อง และกุ้งกุลาดำ เป็นผู้นำภูมิภาคเอเชียในการส่งออกเนื้อไก่ และโภคภัณฑ์อื่นอีกหลายรายการ และเลี้ยงคนได้มากกว่าสี่เท่าของประชากรทั้งประเทศ ประเทศไทยยังแสวงหาการส่งออกปศุสัตว์เพิ่มขึ้นอีก

การประกอบอาชีพด้านการเกษตร
เกษตรกรรมในประเทศสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายด้าน คือ
·         การทำนา มีการทำทุกภาค แต่ภาคกลางมีการทำนามากที่สุด เนื่องจากมีพื้นที่ทำนามากที่สุดของประเท
·         การทำสวนยางพารา พบมากในภาคใต้และจังหวัดจันทบุรี ตลอดจนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวไทย นอกจากนี้ ยังมีการปลูกสวนปาล์มน้ำมันด้วยเช่นกัน
·         การทำสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ลำไย ส้ม สับปะรด แตงโม กล้วย ขนุน มะม่วง ละมุด พุทรา องุ่น น้อยหน่า ลางสาด
·         การทำพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย ปอ ฝ้าย นุ่น ละหุ่ง มะพร้าว มันสำปะหลัง ยาสูบ พริกไทย ตาล ถั่วต่าง ๆ
·         การเลี้ยงสัตว์ เช่น สุกร โค กระบือ เป็ด ไก่ ห่าน ไหม ช้าง ม้า ลา ล่อ






ประวัติส่วนตัว

 



ชื่อ นางสาวสุมาพร     เทียมมนู       ชื่อเล่น เอิง
โรงเรียน สุราษฎร์พิทยา
บ้านเลขที่ 8   ซ.ร่วมใจ   ต.นาสาร   อ.บ้านาสาร   จ.สุราษฎร์ธานี   84120
วันเกิด 14   มกราคม  2542   อายุ 15 ปี
ศึกษาอยู่ โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
นิสัยส่วนตัว : เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว  พูดมาก
ความสามารถพิเศษ : ร้องเพลง
กีฬาที่ชอบ : บาสเกตบอล,ว่ายน้ำ
วิชาที่ขอบ :ภาษาอังกฤษ
วิชาที่ไม่ชอบ : คณิตศาสตร์ และภาษาไทย
คติประจำใจ :  ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

สิ่งที่อยากทำมากที่สุด :  เรียนให้จบสูงๆมีงานดีทำ   มีเงินเยอะๆ